จากงาน Rap is Now Awards 2017 ในวันที่ 27 กันยายนที่ผ่าน นอกจากการประกาศผลรางวัลที่สุดแห่งปีวงการเพลงฮิพฮอพ/แร็พที่เราก็ได้ทราบผลกันไปแล้วว่าใครกันบ้างที่ได้รางวัลไปนอนกอดในคืนนั้น เรายังมีช่วงเสวนาพูดคุยกับกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ถึงขวบปีที่ผ่านมาในวงการเพลงฮิพฮอพ โดยเราได้ TABEAZY (Tab Thanapol) กับ NINO สองโปรดิวเซอร์ที่มาพูดในเรื่องของฝั่งโปรดิวเซอร์ เราได้ FIIXD มาพูดในเรื่องของการทำอัลบั้มเพลงในยุคที่ศิลปินนิยมทำซิงเกิล และ YOUNGOHM หน้าใหม่ที่มาพร้อมปรากฏการณ์
รับชมวิดีโอช่วงเสวนาได้ที่นี่ RAP IS NOW AWARDS 2017 TALK SESSION
เราจะมาสรุปเรื่องราวของการพูดคุยไว้ในนี้ด้วย ซึ่งในการจัดงาน Rap is Now Awards 2017 นับเป็นครั้งที่สองของ Rap is Now ที่จัดงานมอบรางวัลเพื่อขอบคุณศิลปินฮิพฮอพขึ้น และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดเป็นงานปาร์ตี้แบบ Exclusive Party ขึ้นที่ Future Factory อารีย์ สำหรับประเด็นหลักของการพูดคุยคือ “การเติบโตของเพลง Hip-Hop ในไทย” ที่มาพร้อมกับคนรุ่นใหม่ในวงการ เราจึงได้สี่ศิลปินและโปรดิวเซอร์คือ TABEAZY, NINO, FIIXD และ YOUNGOHM
TABEAZY ให้มุมมองกับประเด็นหลักนี้ว่า การเติบโตที่เห็นได้ชัดเจนของฮิพฮอพไทยคือการขยายตัวของกลุ่มผู้ฟังสู่เด็กวัยรุ่นมากมาย ด้วยความเชื่อของศิลปินที่ผลิตเพลงออกมาจนมีกลุ่มผู้สนใจวัฒนธรรมฮิพฮอพมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถต่อยอดเป็นหลายๆ อย่าง
ซึ่งจากผู้สนใจมากขึ้นทำให้มีกลุ่มผู้ที่อยากเป็นเบื้องหลังมากขึ้นเช่นกันทั้งโปรดิวเซอร์ และบีทเมกเกอร์ โดยการประสบความสำเร็จของโปรดิวเซอร์เบื้องหลังที่โด่งดังเช่น Kanye West, Pharrell Williams ก็เป็นจุดสำคัญที่ยืนยันเรื่องนี้
ในการเติบโตนั้นส่งผลให้แร็พเปอร์ที่ทำเพลงอยู่ใต้ดินมาหลายปีอย่าง FIIXD ที่ปล่อยอัลบั้มในปีนี้รู้สึกว่าคนฟังเข้าถึงเพลงง่ายมากขึ้น จึงส่งให้เพลงมีการกระจายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พวกเค้าสามารถขายโชว์ได้อย่างต่อเนื่อง
โดยประเด็นของการทำอัลบั้มในยุคที่ศิลปินและคนฟังนิยมเพลงแบบซิงเกิลมากกว่า FIIXD ให้ความเห็นว่ามันเป็นความคลาสสิคเพราะตัวเค้าเองก็ตามเก็บผลงานอัลบั้มของศิลปินที่ชื่นชอบมาก่อน จึงอยากทำขึ้นมาด้วยมือของเค้าเอง ไม่เช่นนั้นวัฒนธรรมการทำแผ่นซีดีอัลบั้มอาจจะหายไปในอนาคต ซึ่งในกระบวนการเหล่านั้นมันใช้เวลานาน และต้องอาศัยเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างศิลปินที่อยากชวนมาร่วมงานด้วย
กระบวนการคิดงานอัลบั้มจึงจะมีธีมของอัลบั้มนั้นๆ ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมของศิลปิน ที่หันมาทำงานแบบซิงเกิลกันมากขึ้น และในเพลงแร็พที่ประสบความสำเร็จมากในการเป็นซิงเกิลปรากฏการณ์ก็คือ “เฉยเมย” ของ YOUNGOHM
เพลงนี้ได้รับความนิยมทั้งในชาร์จ iTunes และ JOOX ซึ่งเป็นสตรีมมิ่งที่ค่อนข้างแตกต่างในกลุ่มผู้ใช้งาน โดย YOUNGOHM กล่าวว่า เนื้อหาที่แต่งในเนื้อเพลงนั้นเป็นประสบการณ์จริงของเค้าเอง โดยคำว่า “ยังไม่ได้นอน” ก็น่าจะไปกระแทกใจของคนที่ยังไม่ได้นอนเพราะมีกิจกรรมทำในช่วงกลางคืน ส่วนกระแสตอบรับจากผู้ฟังหลายกลุ่มนั้นก็มาจากการโปรโมทเพลงที่เค้าศึกษาสังคมออนไลน์มาพอสมควรก่อนที่จะปล่อยเพลง
TABEAZY ให้ความเห็นว่าการพบเจอกันของผู้ฟังและศิลปินบนออนไลน์ทำให้เพลงเข้าถึงง่ายมากขึ้น ซึ่งเพลง “เฉยเมย” ก็มีใจความที่ได้ใจผู้ฟังจำนวนมาก และถึงแม้มันอาจจะมีหลักสูตรว่าทำเพลงอย่างไรให้ฮิต มันก็อาจจะไม่แน่นอนเสมอไป ซึ่งตัวศิลปินจะเจอจุดที่คนฟังชอบจากการลงมือทำงานมาเยอะๆ สำหรับ NINO มองว่า ถึงเราจะไม่รู้ว่าเพลงนี้จะมีโอกาสดัง แต่มันต้องมาจากความรู้สึกข้างในของตัวศิลปินก่อน
โดยการจะดังได้ของแต่ละเพลงมันอาจจะต้องมีส่วนประกอบตามทฤษฎี 3 ด. คือ “ดี ดัง โดน” จากความเห็นของ TABEAZY ซึ่งในแต่ละเพลงอาจจะไม่ได้ครบทั้ง 3 ตัว แต่ก็อาจจะประสบความสำเร็จได้
หากถามว่าก่อนจะปล่อยเพลง “เฉยเมย” จะดังได้ขนาดไหน ตัวศิลปินเองก็ยังไม่ทราบ แต่สิ่งนึงที่ YOUNGOHM มีอยู่ในใจตัวเองเสมอเลยก็คือ ความเชื่อมั่น และเพลง “เฉยเมย” เจ้าตัวก็รู้สึกตั้งแต่ทำเสร็จว่าเพลงนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เค้าเก็บประสบการณ์มาเล่าเป็นเพลงเกือบ 100% นั่นอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ฟังถึงอินกับเพลงนี้
ในขณะเดียวกัน FIIXD กลับไม่ได้คาดคิดว่าเพลงของเค้าจะได้รับความนิยม เพราะทุกเพลงที่ทำออกมาเค้าทุ่มสุดในการทำงานโดยที่ไม่ได้แคร์ว่าจะดังหรือไม่ ที่สำคัญการทำเพลงออริจินัลของตัวเองมันต่างกับมิกซ์เทป เพราะการผลิตผลงานออกมาแล้วเผยแพร่ออกไปนั้นคือการจารึกชื่อตัวเองไปตลอดชีวิตในระบบฟังเพลงสตรีมมิ่ง
ท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างมีมุมมองต่อวงการฮิพฮอพบ้านเราที่ต่างกันไป YOUNGOHM กล่าวว่ามันจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะคนรุ่นใหม่ซึมซับจากสื่อต่างๆ และผลงานของศิลปินที่ทำออกมา ซึ่งพวกเค้าจะเข้าใจมันมากขึ้น ขณะที่ FIIXD มองว่าในขณะที่ฝั่งอเมริกาเพลงฮิพฮอพได้รับความนิยมสูงที่สุด ฝั่งไทยก็ต้องไปไกลถึงระดับเอเชียให้ได้ เพราะตอนนี้ทุกคนก็หันมาแคร์แร็พกันมากขึ้น ยกตัวอย่างจากรายการจากสื่อหลักอย่าง The Rapper และ Show Me The Money Thailand
ทางด้านโปรดิวเซอร์แห่งปี NINO มองว่าอีก 5 ปี เราจะเติบโตไปมากกว่านี้แน่นอน ด้วยความสนใจของรุ่นใหม่ๆ ในกลุ่มคนเบื้องหลังอย่างโปรดิวเซอร์และบีทเมกเกอร์ก็จะช่วยยกระดับฮิพฮอพไทยไปอีก ในขณะที่ TABEAZY สังเกตจากการเกิดเพลงฮิพฮอพในเพลงโฆษณามากขึ้น ซึ่งมันต่างจากยุคก่อนๆ ที่ผ่านมา โดยสิ่งสำคัญของความสำเร็จในอนาคตคือทุกๆ คนที่เป็นบุคลากรในวงการ ทั้งศิลปิน โปรดิวเซอร์ ทีมงานเบื้องหลังต้องเชื่อมั่นและทำมันโดยไม่หยุด เพราะสิ่งเหล่านี้มันถูกพิสูจน์มาแล้วจากการอยู่บนชาร์จเพลงระดับโลกอย่างบิลบอร์ดของเพลงฮิพฮอพ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนจบ รวมถึงผู้ที่ฟังในวิดีโอด้วย ซึ่งงานเสวนาดีๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ขอขอบคุณผู้ติดตามทุกท่าน แล้วพบกันในโอกาสถัดไป